============================== GNUEMACS ภาษาญี่ปุ่น (Mule) เบื้องต้น ============================== หมายเหตุ: เอกสารฉบับเบื้องต้นนี้ ถูกเขียนขึ้นโดยยึดหลักที่ว่า "ลองเล่นเลยดีกว่าเรียนรู้" บรรทัดที่เริ่มต้นด้วย ">>" จะมีคำสั่งว่า ต่อไปจะให้ทำอะไร โดยทั่วไป การป้อนคำสั่งให้กับ Mule ทำได้โดยใช้ ปุ่มคอนโทรล (ปุ่มที่บนหน้าสัมผัส เขียนไว้ ว่า CTRL หรือ CTL) หรือ ปุ่ม META (โดยปกติ หมายถึงปุ่ม ESC) ในที่นี้ เราจะใช้สัญลักษณ์ต่อไป นี้ แทนการเขียนเต็ม ๆ ว่า CONTROL หรือ META C-<ตัวอักษร> หมายถึง ให้กดปุ่มคอนโทรลค้างไว้ แล้วกดปุ่ม <ตัวอักษร> ตัวอย่างเช่น C-f หมายถึง ให้กดปุ่มคอนโทรลค้างไว้ แล้วกดปุ่ม f <> >> ตอนนี้ขอให้ลองกด C-v (View Next Screen ดูหน้าต่อไป) ดู เพื่อเลื่อนไปอ่านหน้า ต่อไป ต่อจากนี้เป็นต้นไป ทุกครั้งที่อ่านหน้าหนึ่ง ๆ จบขอให้ทำในทำนองเดียวกัน เพื่อเลื่อนไป ดูหน้าต่อไป ESC <ตัวอักษร> หมายถึง ให้กดปุ่ม ESC แล้วปล่อย หลังจากนั้นจึงกดปุ่ม <ตัวอักษร> ตาม หมายเหตุ: <ตัวอักษร> ไม่ว่าเป็นตัวใหญ่หรือตัวเล็ก จะให้ความหมายเหมือนกันเมื่อถูกใช้ใน คำสั่ง ถ้าหากมีปุ่ม META ให้กด ก็จะสามารถใช้การกด M-<ตัวอักษร> แทน การ ESC <ตัวอักษร> ได้ (คือให้กดปุ่ม META ค้างไว้ แล้วจึงกด <ตัวอักษร>) ข้อสำคัญ: เวลาจะเลิกใช้ Emacs ให้กด C-x C-c หรือในกรณีที่สั่ง Emacs จาก csh ก็สามารถใช้ suspend (หยุดชั่วคราว) ได้ การ suspend Emacs ทำได้โดย กด C-z ต่อจากนี้ ขอให้ป้อนคำสั่ง C-v ทุก ๆ ครั้งที่อ่านจบหนึ่งหน้า ภายในหน้าที่แล้วกับหน้าถัดไป จะมีเนื้อหาซ้ำกันอยู่บางบรรทัด ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพื่อให้สามารถรู้ ได้ว่า เนื้อหาที่แสดงอยู่นั้น ต่อเนื่องกันอยู่ ก่อนอื่น จำเป็นจะต้องรู้วิธีการโยกย้ายตำแหน่งไปมา ภายในแฟ้มข้อมูลเสียก่อน ตามที่บอกไป แล้ว ก็คือ C-v ใช้สำหรับเลื่อนไปข้างหน้า ถ้าจะเลื่อนกลับที่เก่า ก็ให้กด ESC v >> ลองใช้ ESC v และ C-v เพื่อเลื่อนไปมาดู สักสองสามครั้ง สรุป === คำสั่ง สำหรับเลื่อนไปมาทีละหน้าภายในแฟ้มข้อมูล คือ C-v เลื่อนไปข้างหน้า หนึ่งหน้าจอ ESC v เลื่อนไปข้างหลัง หนึ่งหน้าจอ C-l เขียนหน้าจอใหม่ และในขณะเดียวกัน ก็ให้เลื่อนตำแหน่งของเคอร์เซอร์ (cursor) ไปอยู่ตรงกลางจอ >> ขอให้สังเกตดูว่า ในขณะนี้เคอร์เซอร์อยู่ที่ไหน พร้อมทั้งจำข้อความที่อยู่รอบข้างของ เคอร์เซอร์ด้วย แล้วลองกด C-l ดู ตรวจสอบดูว่า เคอร์เซอร์เลื่อนไปอยู่ที่ไหน ข้อความที่อยู่รอบข้างเปลี่ยนไปอย่างไร วิธีโยกย้ายเคอร์เซอร์ขั้นพื้นฐาน ======================= ตอนนี้ เราก็รู้วิธีโยกย้ายไปมาแบบทีละหน้าแล้ว ต่อไป ก็มาเรียนรู้วิธีโยกย้ายไปที่ตำแหน่งใด ตำแหน่งหนึ่งภายในหน้าเดียวกัน ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี วิธีหนึ่งก็คือให้ใช้คำสั่ง ไปบรรทัดก่อนหน้า (previous) ไปบรรทัดต่อไป (next) ไปด้านหน้า (forward) ไปด้านหลัง (backward) คำสั่ง เหล่านี้ ถูกตั้งไว้ที่ C-p C-n C-f และ C-b ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้โยกย้ายไปมาได้ โดยเทียบกับ ตำแหน่งปัจจุบัน สรุปเขียนเป็นแผนภาพได้ดังนี้ บรรทัดที่แล้ว C-p : : ตัวอักษรด้านหลัง C-b .... ตำแหน่งเคอร์เซอร์ปัจจุบัน .... ตัวอักษรด้านหน้า C-f : : บรรทัดต่อไป C-n คำสั่งเหล่านี้ เอามาจากตัวอักษรตัวแรกของ คำว่า Previous Next Backward Forward ซึ่งจะช่วยให้จำได้ไม่ยาก คำสั่งเหล่านี้เป็นคำสั่งสำหรับการโยกย้ายขั้นพื้นฐาน ซึ่งต้องใช้อยู่เสมอ >> ลองกด C-n ดูหลาย ๆ ครั้ง เพื่อเลื่อนเคอร์เซอร์มายังบรรทัดนี้ (บรรทัดที่กำลังอ่าน อยู่นี้) >> ลองกด C-f ดูหลาย ๆ ครั้ง เพื่อเลื่อนเคอร์เซอร์ไปยังตรงกลางของบรรทัด แล้วลอง กด C-p เลื่อนขึ้นข้างบนดู สังเกตดูด้วยว่า ตำแหน่งของเคอร์เซอร์เปลี่ยนไปอย่างไร >> ลองกด C-b ขณะที่อยู่ที่ตำแหน่งหน้าสุดของบรรทัดดู สังเกตดูด้วยว่า เคอร์เซอร์เคลื่อน ไปอย่างไร จากนั้นให้กด C-b อีกสองสามครั้ง แล้วกด C-f เพื่อเลื่อนไปยังท้ายสุด ของบรรทัดดู เคอร์เซอร์จะเป็นอย่างไร ถ้ากดจนเลยท้ายบรรทัดไป เวลาที่เลื่อนเคอร์เซอร์ จนเลยบรรทัดแรกสุดหรือบรรทัดท้ายสุดของหน้าไป เคอร์เซอร์จะ เลื่อนไปยังบรรทัดต่อไปในทิศทางนั้น ๆ และปรับให้เคอร์เซอร์กลับมาอยู่บนหน้าจอเสมอ >> ลองกด C-n เพื่อเลื่อนเคอร์เซอร์ให้เลยบรรทัดล่างสุดของหน้าจอดู แล้วสังเกตดูว่า เกิดอะไรขึ้น และตำแหน่งของเคอร์เซอร์เปลี่ยนไปอย่างไร ถ้ารู้สึกว่าการขยับไปทีละตัวอักษรนั้นอืดอาดยืดยาด ก็สามารถใช้การเลื่อนเคอร์เซอร์ไปทีละคำ ได้ กด ESC f เพื่อให้เลื่อนไปข้างหน้าหนึ่งคำ และ ESC b เพื่อให้เลื่อนไปข้างหลังหนึ่งคำ หมายเหตุ: สำหรับภาษาไทย ยังไม่สามารถแบ่งแยกตำแหน่งของคำได้ถูกต้อง จึงไม่ สามารถใช้สองคำสั่งนี้ได้ >> ลองกด ESC f และ ESC b ลองดูหลาย ๆ ครั้ง และลองใช้ร่วมกับ C-f กับ C-b ดู ด้วย จะสังเกตเห็นได้ว่า ESC f และ ESC b มีรูปแบบคล้ายคลึงกับ C-f และ C-b โดยส่วนใหญ่ ESC <ตัวอักษร> จะใช้เกี่ยวกับการจัดการข้อความ ส่วน C-<ตัวอักษร> จะใช้กับสิ่งที่เป็นพื้นฐานมาก กว่า (เช่น ตัวอักษร หรือ บรรทัด) C-a กับ C-e เป็นคำสั่งน่าจะรู้ไว้ เพราะค่อนข้างสะดวกดีทีเดียว C-a ใช้สำหรับเลื่อน เคอร์เซอร์ไปที่ตำแหน่งหน้าสุดของบรรทัด C-e สำหรับเลื่อนไปที่ตำแหน่งท้ายสุดของบรรทัด >> ลองกด C-a ดูสองครั้ง หลังจากนั้นให้กด C-e ดูสองครั้ง แล้วลองสังเกตดูว่า การ กดคำสั่งนี้มากกว่าสองครั้ง จะไม่ช่วยให้เลื่อนเคอร์เซอร์ไปไหนได้มากกว่านั้นอีก ยังมีอีกสองคำสั่ง สำหรับการเลื่อนเคอร์เซอร์แบบง่าย ๆ คือ คำสั่ง ESC < สำหรับการเลื่อน เคอร์เซอร์ไปที่ตำแหน่งแรกสุดของแฟ้มข้อมูล และคำสั่ง ESC > สำหรับการเลื่อนไปตำแหน่งท้ายสุด เราเรียกตำแหน่งของข้อความ ที่มีเคอร์เซอร์อยู่ว่า "จุด (point)" หรือพูดอีกอย่างหนึ่งได้ ว่า เคอร์เซอร์ เป็นสิ่งที่บอกให้เรารู้ว่า จุด อยู่ตรงไหนของหน้าจอ สรุปคำสั่งสำหรับการเคลื่อนไปมา ซึ่งรวมการเคลื่อนที่ในหน่วยของคำ หน่วยของบรรทัดไว้ด้วย ได้ดังนี้ C-f ไปข้างหน้าหนึ่งตัวอักษร C-b กลับข้างหลังหนึ่งตัวอักษร ESC f ไปข้างหน้าหนึ่งคำ ESC b กลับข้างหลังหนึ่งคำ C-n เลื่อนไปบรรทัดต่อไป C-p เลื่อนไปบรรทัดที่แล้ว ESC ] เลื่อนไปตำแหน่งท้ายสุดของย่อหน้า (paragraph) ESC [ เลื่อนไปตำแหน่งแรกสุดของย่อหน้า C-a เลื่อนไปตำแหน่งแรกสุดของบรรทัด C-e เลื่อนไปตำแหน่งท้ายสุดของบรรทัด ESC < เลื่อนไปตำแหน่งแรกสุดของแฟ้มข้อมูล ESC > เลื่อนไปตำแหน่งท้ายสุดของแฟ้มข้อมูล >> ลองใช้คำสั่งแต่ละคำสั่งดู คำสั่งเหล่านี้เป็นคำสั่งที่ใช้กันบ่อยสุด คำสั่งสองคำสั่งหลัง จะเลื่อนเคอร์เซอร์ ไปยังที่ที่ค่อนข้างไกล ให้ลองใช้คำสั่ง C-v และ ESC v เพื่อ เลื่อนเคอร์เซอร์กลับมาที่ตรงนี้ สำหรับคำสั่งอื่น ๆ ของ Emacs ก็เช่นกัน คำสั่งเหล่านี้จะสามารถเพิ่มตัวเลือก (argument) เพื่อกำหนด จำนวนครั้ง ในการปฏิบัติงานได้ การกำหนดจำนวนครั้ง ทำได้โดยกด C-u แล้วตาม ด้วยจำนวนครั้งที่ต้องการก่อน แล้วจึงค่อยกดคำสั่งตาม ตัวอย่างเช่น คำสั่ง C-u 8 C-f หมายถึง ให้เลื่อนไปข้างหน้า 8 ตัวอักษร >> ให้ลองกำหนดจำนวนครั้งที่เหมาะสมสำหรับคำสั่ง C-n หรือ C-p เพื่อเลื่อนเคอร์เซอร์ ให้มาอยู่ใกล้บรรทัดนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในการเลื่อนเคอร์เซอร์ครั้งเดียว สำหรับ C-v และ ESC v จะได้ผลแตกต่างไปสักเล็กน้อย ในกรณีนี้ จะเป็นการเลื่อนหน้าจอ ขึ้นลง ตามจำนวนบรรทัดแทน >> ลองกด C-u 3 C-v ดู เลื่อนกลับที่เก่าได้โดย C-u 3 ESC v คำสั่งยกเลิก ========= คำสั่ง C-g ใช้สำหรับสั่งยกเลิกคำสั่งต่าง ๆ ที่ต้องการการป้อนข้อมูลเพิ่มเติม ตัวอย่างเช่น ระหว่างที่ใส่ตัวเลือก (argument) อยู่ หรือระหว่างคำสั่งที่ต้องการกดปุ่มมากกว่า 2 ปุ่มขึ้นไป ถ้า หากต้องการยกเลิก ก็ให้กด C-g >> ลองกำหนดจำนวนครั้งให้เป็น 100 โดยการกด C-u 100 แล้วกด C-g ดู หลังจากนั้น ให้ลองกด C-f ดู แล้วสังเกตดูว่าเคอร์เซอร์เลื่อนไปกี่ตัวอักษร หรือตอนที่พลาดไปกด ESC โดยไม่ตั้งใจ ก็สามารถกด C-g ยกเลิกได้ ข้อผิดพลาด (Error) ================ ในบางครั้ง อาจจะมีการสั่งปฏิบัติงานบางอย่าง ที่ Emacs ยอมรับไม่ได้เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น การกดคำสั่งคอนโทรลบางคำสั่ง ที่ไม่ได้กำหนดไว้ใน Emacs ก็จะทำให้ Emacs ส่งเสียงเตือน และแสดงผลที่บรรทัดล่างสุดของจอ บอกว่าผิดพลาดอย่างไร คำสั่งบางคำสั่งที่เขียนไว้ในเอกสารฉบับนี้ อาจใช้ไม่ได้กับ Emacs บางรุ่น (version) ซึ่งจะ ทำให้มีการแสดงผลข้อผิดพลาด (error) ขึ้น ในกรณีนี้ ขอให้กดปุ่มอะไรก็ได้ เพื่อเลื่อนไปยังส่วน ต่อไป วินโดว์ (Window) ============== Emacs สามารถเปิดวินโดว์ได้พร้อมกันหลายวินโดว์ และใช้วินโดว์เหล่านั้นแสดงผลข้อความ ต่าง ๆ ตามต้องการได้ ก่อนอื่น ก็ควรจะทำความรู้จักกับคำสั่ง ที่ใช้สำหรับการลบวินโดว์ส่วนเกิน ในเวลาที่แสดงผลลัพธ์ของคำสั่งบางคำสั่ง หรือ Help ออกเสียก่อน C-x 1 ทำให้เป็นวินโดว์เดียว คำสั่ง C-x 1 ใช้สำหรับลบวินโดว์อื่น แล้วขยายวินโดว์ที่มีเคอร์เซอร์อยู่ ให้เต็มจอเป็น วินโดว์เดียว >> ให้เลื่อนเคอร์เซอร์มาที่บรรทัดนี้ แล้วกด C-u 0 C-l >> ลองกด C-h k C-f ดู แล้วสังเกตดูว่าวินโดว์นี้เปลี่ยนไปอย่างไร เมื่อมีวินโดว์ใหม่ซึ่ง อธิบายวิธีใช้คำสั่ง C-f ปรากฏขึ้น >> ลองกด C-x 1 เพื่อลบวินโดว์ที่โผล่ขึ้นมาใหม่ ออก การแทรก (insert) และ การลบ (delete) =================================== บน Emacs เราจะสามารถพิมพ์ตัวอักษรเข้าไปได้เลย เมื่อต้องการพิมพ์ข้อความ Emacs จะ ถือว่าตัวหนังสือที่มองเห็นได้ทุกตัว (เช่น 'A' '7' '*' 'ก' และอื่น ๆ) เป็นข้อความที่ต้องการจะ แทรก (insert) เข้าไปตรง ๆ เมื่อจะจบบรรทัด ให้กด เพื่อเติมอักษรขึ้นบรรทัดใหม่ (linefeed character) แทรกเข้าไป ให้กด เมื่อต้องการจะลบตัวอักษรที่เพิ่งพิมพ์เข้าไป หมายถึงปุ่มเขียน บนผิวหน้าไว้ว่า "Delete" หรือบางทีอาจจะเขียนไว้ "Rubout" ก็ได้ โดยทั่วไป ใช้สำหรับลบตัวอักษรที่อยู่ก่อนหน้าตำแหน่งเคอร์เซอร์ปัจจุบัน >> ลองพิมพ์ตัวอักษรเข้าไปหลาย ๆ ตัว แล้วใช้ ลบตัวอักษรเหล่านั้นทิ้ง >> ลองพิมพ์ข้อความลงไปให้เกินขอบขวา (right margin) เวลาที่พิมพ์ข้อความเข้าไป ยาวเกินความกว้างของหนึ่งบรรทัด บรรทัดนั้นก็จะ "ถูกต่อ" ให้ยาวเกินหนึ่งหน้าจอ โดยใส่เครื่องหมาย '\' ไว้ที่ขอบขวาสุด เพื่อบอกให้รู้ว่าบรรทัดนี้ยังมีต่อ Emacs จะ เลื่อน (scroll) หน้าจอเพื่อให้เห็นตำแหน่งที่กำลังแก้ไขอยู่ได้อย่างชัดเจน ถ้าหาก ขอบขวาหรือขอบซ้ายของมีเครื่องหมาย '\' อยู่ ก็เป็นการบอกให้รู้ว่า บรรทัดนั้นยังมีต่อ ไปในทิศทางนั้น ๆ ลองปฏิบัติดูเลย คงจะช่วยให้เข้าใจง่ายกว่าการอธิบายด้วยตัวหนังสือ >> ให้ขยับเคอร์เซอร์ไปไว้บนบรรทัดซึ่งถูกต่อให้ยาวเกินหนึ่งหน้าจอ ที่เพิ่งป้อนเข้าไปเมื่อ สักครู่นี้ แล้วใช้ C-d ลบข้อความออกบางส่วน จนความยาวของข้อความอยู่ภายในหนึ่ง บรรทัด สังเกตดูว่าเครื่องหมาย '\' จะหายไป >> ให้เลื่อนเคอร์เซอร์ไปไว้ที่ตำแหน่งแรกสุดของบรรทัด แล้วกด ดู การทำ แบบนี้ จะทำให้สัญลักษณ์คั่นระหว่างบรรทัดถูกลบออกไป บรรทัดนั้นก็จะถูกเอาไปต่อกับ บรรทัดก่อนหน้านั้น รวมกันเป็นบรรทัดยาวบรรทัดเดียว และอาจจะมีสัญลักษณ์ต่อบรรทัด ปรากฏขึ้น >> ให้กด เพื่อเพิ่ม ตัวอักษรขึ้นบรรทัดใหม่ กลับไปอย่างเดิม คำสั่งส่วนใหญ่ของ Emacs จะสามารถกำหนดจำนวนครั้งที่ต้องการให้ปฏิบัติได้ รวมทั้งการ แทรก (insert) ตัวอักษรด้วย >> ลองป้อนคำสั่ง C-u 8 * ดู สังเกตดูว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าต้องการจะเพิ่มบรรทัดว่าง ๆ (blank line) ระหว่างสองบรรทัด ให้เลื่อนไปที่ตำแหน่ง แรกสุดของบรรทัดที่สอง แล้วกด C-o >> ให้เลื่อนไปที่ตำแหน่งแรกสุดของบรรทัดใดก็ได้ แล้วลองกด C-o ดู ถึงตรงนี้ เราก็ได้เรียนวิธีพื้นฐานสำหรับการป้อนข้อความ และการแก้ที่ผิดแล้ว นอกจากจะ ลบได้ทีละตัวอักษรแล้ว ยังมีคำสั่งซึ่งสามารถใช้ลบได้ในเป็นคำ ๆ หรือเป็นบรรทัด ๆ อีกด้วย สรุป คำสั่งสำหรับการลบได้ดังนี้ ลบตัวอักษรที่อยู่หน้าเคอร์เซอร์ C-d ลบตัวอักษรที่อยู่ที่เคอร์เซอร์ ESC ลบคำที่อยู่หน้าเคอร์เซอร์ ESC d ลบคำตั้งแต่ตำแหน่งที่เคอร์เซอร์อยู่ C-k ลบบรรทัดตั้งแต่ตำแหน่งที่เคอร์เซอร์อยู่ ในบางครั้ง เราอาจต้องการจะเอาส่วนที่ลบไปกลับคืนมา โปรแกรม Emacs จะจำส่วนที่ลบ ออกไว้ เวลาที่ลบข้อความในหน่วยที่มากกว่าหนึ่งตัวอักษร ให้ใช้คำสั่ง C-y เวลาที่ต้องการจะเอา ข้อความกลับคืน สิ่งที่ควรระวังก็คือ C-y ไม่ใช่ใช้ได้เพียงแค่ตำแหน่งที่ลบข้อความออกเท่านั้น แต่จะ ใช้กับตำแหน่งใดก็ได้ C-y เป็นคำสั่งสำหรับแทรกข้อความที่เก็บไว้ ลงในตำแหน่งที่มีเคอร์เซอร์อยู่ เราสามารถใช้ความสามารถนี้ในการเคลื่อนย้ายข้อความได้ คำสั่งสำหรับการลบมีอยู่สองแบบคือ คำสั่ง "Delete" กับ คำสั่ง "Kill" คำสั่ง "Kill" จะเก็บส่วนลบออกไว้ แต่คำสั่ง "Delete" จะไม่เก็บ แต่ถ้าหากใช้คำสั่งนี้หลาย ๆ ครั้ง ก็จะเก็บ ส่วนที่ลบออกไว้ให้ >> ให้กด C-n สักสองสามครั้ง เพื่อเลื่อนไปยังที่ที่เหมาะสมบนหน้าจอ แล้วลองกด C-k เพื่อ ลบบรรทัดนั้นออกดู เมื่อกด C-k ครั้งแรก ข้อความในบรรทัดนั้นจะถูกลบออก และเมื่อกดอีก C-k อีกครั้ง บรรทัด นั้นเองทั้งบรรทัดก็จะถูกลบออกไปด้วย แต่ถ้ากำหนดจำนวนครั้งให้กับคำสั่ง C-k ก็จะหมายถึง ให้ลบ บรรทัดออก (ทั้งเนื้อหาและตัวบรรทัด) เป็นจำนวนบรรทัด เท่ากับจำนวนครั้งที่กำหนด บรรทัดที่เพิ่งลบออกไป จะถูกเก็บไว้ และสามารถนำกลับคืนมาได้ โดยใช้คำสั่ง C-y >> ลองกด C-y ดู ข้อความที่ถูกลบออก โดยการกด C-k หลาย ๆ ครั้ง จะถูกเก็บรวบรวมไว้ และสามารถนำ กลับมาทั้งหมดได้ในครั้งเดียว โดยการกด C-y >> ลองกด C-k ดูหลาย ๆ ครั้ง >> คำสั่งสำหรับเรียกข้อความกลับมา คือ C-y ก่อนอื่นให้เลื่อนเคอร์เซอร์ลงไปข้างล่าง สักสองสามบรรทัด แล้วลองกด C-y ดู ก็จะสามารถคัดลอก (copy) ข้อความได้ ถ้าตอนนี้เก็บข้อความอะไรบางอย่างไว้ แล้วลบข้อความอื่นเพิ่มเข้าไปอีก จะเกิดอะไรขึ้น ผลลัพธ์คือ C-y จะเรียกคืนได้แค่เพียงข้อความที่ลบออกครั้งล่าสุดเท่านั้น >> ลองลบบรรทัดดูหนึ่งบรรทัด แล้วเลื่อนเคอร์เซอร์ไปที่อื่น แล้วลบบรรทัดออกดูอีกหนึ่ง บรรทัด ลองกด C-y ดู แล้วสังเกตดูว่าจะได้แค่เพียงบรรทัดที่สองคืนเท่านั้น การอันดู (UNDO) ============= เวลาที่แก้ไขข้อความบางอย่าง แล้วต้องการจะเปลี่ยนกลับให้เป็นอย่างเดิม ก็สามารถทำได้ทุก เมื่อด้วยคำสั่ง C-x u โดยปกติ จะใช้สำหรับยกเลิกคำสั่ง ที่ป้อนเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ สามารถใช้ คำสั่งนี้กี่ครั้งก็ได้ตามต้องการ >> ลองลบบรรทัดนี้ออกดู ด้วยคำสั่ง C-k แล้วเรียกกลับคืนมาด้วย C-x u คำสั่ง C-_ ก็เป็นคำสั่งอันดูอีกอันหนึ่ง ความสามารถเหมือนกับคำสั่ง C-x u สามารถกำหนดจำนวนครั้งให้คำสั่ง C-_ และ C-x u ได้ แฟ้มข้อมูล (File) ============== เราจำเป็นต้องเก็บรักษา (save) ข้อความที่แก้ไขไว้ในแฟ้มข้อมูล ถ้าต้องการจะให้สิ่งที่ แก้ไขเปลี่ยนไปอย่างถาวร ไม่เช่นนั้น สิ่งที่แก้ไขไปก็จะหายไป ทันทีที่เลิกการใช้ Emacs แฟ้มข้อมูลที่มองเห็นอยู่ คือสิ่งที่บันทึกสิ่งที่กำลังแก้ไขอยู่ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือแฟ้มข้อมูลที่มองเห็น อยู่คือตัวแฟ้มข้อมูลที่กำลังแก้ไขอยู่ แต่จนกว่าแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บรักษา (save) ลงไป แฟ้มข้อมูลที่ถูกแก้ไขอยู่ จะไม่ถูกเขียนทับ ลงไปอย่างเด็ดขาด อันนี้เพื่อเป็นการป้องกันการเขียนทับแฟ้มข้อมูลที่แก้ไขไปแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการเก็บรักษา (save) สิ่งที่แก้ไขผิดไปโดยไม่ตั้งใจ Emacs จะเปลี่ยนชื่อแฟ้มข้อมูลต้นฉบับเก็บไว้ให้ ก่อนการเก็บรักษา หมายเหตุ: Emacs ยังมีการป้องกันอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง โดยการเก็บรักษาแฟ้มข้อมูลที่กำลัง แก้ไขอยู่เป็นระยะ ๆ โดยใช้ชื่อแฟ้มข้อมูลต่างกัน ด้วยวิธีนี้ จะทำให้สามารถลด ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตรงส่วนล่างของจอ จะมีบรรทัดโหมด (mode line) ในลักษณะข้างล่างแสดงอยู่ (ตัวอย่าง) [--]J:--**-Mule: TUTORIAL.th (Fundamental) ---55%-------------- ฉบับสำเนาของ Tutorial ของ Emacs ที่กำลังอ่านอยู่นี้ชื่อ TUTORIAL.th เวลาที่สั่งให้หา แฟ้มข้อมูลหรือ find-file (ค้นหาแฟ้มข้อมูล แล้วอ่านเข้ามาในบัฟเฟอร์) ก็จะแสดงชื่อแฟ้มข้อมูลไว้ ตรงส่วน TUTORIAL.th ตัวอย่างเช่น ถ้าสั่งให้หาแฟ้มข้อมูลชื่อ new-file บรรทัดโหมดก็จะแสดง ผลว่า "Mule: new-file" หมายเหตุ: จะมีคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับบรรทัดโหมด (mode line) ในตอนหลัง คำสั่งให้หาแฟ้มข้อมูล และคำสั่งให้เก็บรักษาแฟ้มข้อมูล มีลักษณะแตกต่างจากคำสั่งที่ผ่าน ๆ มา ตรงที่ ประกอบไปด้วย 2 ตัวอักษร คือต้องกดคำสั่งบางอย่าง ตามหลังคำสั่ง C-x ซึ่งหมายถึงคำสั่ง เกี่ยวกับแฟ้มข้อมูล และอีกจุดหนึ่ง แต่แตกต่างจากคำสั่งที่ผ่านมาคือ เวลาสั่งให้ค้นหาแฟ้มข้อมูล เราจะถูก Emacs ถามชื่อของแฟ้มข้อมูลนั้น ๆ เราเรียกคำสั่งเหล่านั้นว่า คำสั่งประเภทที่ถามตัวเลือก (argument) จากเทอร์มินัล หมายเหตุ: ในที่นี้ ตัวเลือก (argument) คือชื่อแฟ้มข้อมูล C-x C-f สั่งให้หา (find) แฟ้มข้อมูล แล้ว Emacs จะถามชื่อของแฟ้มข้อมูล โดยปรากฏขึ้นที่ส่วนล่างของจอ เราเรียกส่วนที่ให้ป้อน ชื่อแฟ้มข้อมูลนั้นว่า มินิบัฟเฟอร์ (mini buffer) มินิบัฟเฟอร์จะถูกใช้งานในลักษณะนี้ มินิบัฟเฟอร์ จะหมดหน้าที่และหายไป หลังจากที่ป้อนชื่อแฟ้มข้อมูล แล้วกดปุ่ม >> ลองกด C-x C-f แล้วตามด้วย C-g ดู เป็นการสั่งยกเลิกเนื้อหาในมินิบัฟเฟอร์ หรือ ยกเลิกคำสั่ง C-x C-f ดังนั้น Emacs จะไม่ค้นหาแฟ้มข้อมูลใด ๆ คราวนี้ มาลองเก็บรักษาแฟ้มข้อมูลดู เวลาที่ต้องการเก็บรักษาสิ่งที่แก้ไขมาจนถึงตอนนี้ ก็ให้ใช้ คำสั่งดังนี้ C-x C-s เก็บรักษา (save) แฟ้มข้อมูล แล้วเนื้อหาที่อยู่ใน Emacs ก็จะถูกเขียนลงไปที่แฟ้มข้อมูล เวลาเก็บรักษาแฟ้มข้อมูล แฟ้มข้อมูล ต้นฉบับจะไม่สูญหายไป แต่จะถูกเก็บไว้ในชื่อใหม่ ซึ่งได้มาจากชื่อเก่าที่ต่อท้ายด้วย '~' หลังจากที่เก็บรักษาแฟ้มข้อมูลเสร็จแล้ว Emacs ก็จะแสดงชื่อแฟ้มข้อมูลที่เก็บให้ดู >> ลองกด C-x C-x เพื่อเก็บรักษาสำเนาของ Tutorial นี้ดู ก็จะเห็นว่า ที่ส่วนล่าง ของจอ มีข้อความว่า "Wrote ...../TUTORIAL.th" ปรากฏขึ้น เวลาที่จะสร้างแฟ้มข้อมูลใหม่ ก็ให้ทำราวกับว่าจะค้นหา (find-file) แฟ้มข้อมูลเก่าซึ่งมี อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว แล้วพิมพ์ข้อความลงไปในแฟ้มข้อมูลที่หาเจอ และเวลาที่สั่งเก็บรักษาแฟ้มข้อมูลเท่านั้น คือตอนที่ Emacs จะเก็บเนื้อหาที่แก้ไขมาทั้งหมด ลง ในแฟ้มข้อมูลเป็นครั้งแรก บัฟเฟอร์ (Buffer) =============== ถ้าหากสั่งให้หาแฟ้มข้อมูลอันที่สอง ด้วยคำสั่ง C-x C-f เนื้อหาของแฟ้มข้อมูลแรก ก็จะยังคง ถูกเก็บรักษาอยู่ใน Emacs สิ่งที่เก็บรักษาแฟ้มข้อมูลที่อ่านเข้ามา ซึ่งอยู่ภายใน Emacs เรียกว่า บัฟเฟอร์ (Buffer) เวลาที่อ่านแฟ้มข้อมูลใหม่เข้ามา Emacs ก็จะสร้างบัฟเฟอร์ใหม่ ขึ้นมาภายใน ถ้าต้องการจะดูรายการของบัฟเฟอร์ ที่ถูกเก็บรักษาอยู่ภายใน Emacs ก็ให้กดคำสั่ง C-x C-b >> ลองกด C-x C-b ดู สังเกตดูว่าแต่ละบัฟเฟอร์มีชื่อว่าอะไร และถูกตั้งชื่อไว้ว่า อย่างไร ใน Emacs มีบางบัฟเฟอร์ ที่ไม่มีคู่กับแฟ้มข้อมูลจริง ๆ ตัวอย่างเช่น ไม่มีแฟ้มข้อมูลที่มีชื่อว่า "*Buffer List*" อยู่จริง ๆ แต่เป็นบัฟเฟอร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อแสดงรายการบัฟเฟอร์ โดยคำสั่ง C-x C-b ข้อความทุกข้อความที่ปรากฏอยู่ในวินโดว์ของ Emacs นั้น จะอยู่ในบัฟเฟอร์ใดบัฟเฟอร์หนึ่งเสมอ >> ลองกด C-x 1 เพื่อลบรายการบัฟเฟอร์ออกดู การเรียกแฟ้มข้อมูลอื่นขึ้นมาแก้ไข ตอนที่กำลังแก้ไขแฟ้มข้อมูลหนึ่งอยู่นั้น จะไม่ทำให้แฟ้มข้อมูล แรกถูกเก็บรักษา สิ่งที่แก้ไขไปในแฟ้มข้อมูลแรกจะถูกบันทึกไว้ในบัฟเฟอร์ของแฟ้มข้อมูลนั้น เท่านั้น การสร้างบัฟเฟอร์ใหม่ขึ้น สำหรับแก้ไขแฟ้มข้อมูลอันที่สอง แล้วแก้อะไรบางอย่างในบัฟเฟอร์นั้น จะไม่มีผลใด ๆ ต่อบัฟเฟอร์ของแฟ้มข้อมูลอันที่หนึ่งทั้งสิ้น จุดนี้ทำให้สามารถเก็บแฟ้มข้อมูลแรกไว้เพื่อ แก้ไขในตอนหลัง แต่เวลาที่ต้องการจะเก็บรักษา (save) บัฟเฟอร์ลงไปในแฟ้มข้อมูล ด้วยคำสั่ง C-x C-s นั้น จะต้องสวิทซ์ไปยังบัฟเฟอร์ที่ต้องการจะเก็บ ด้วยคำสั่ง C-x C-f ซึ่งค่อนข้างยุ่งยาก เรามีคำสั่งซึ่ง ใช้สำหรับการนี้โดยเฉพาะ คือ C-x s เก็บรักษา (save) ทุกบัฟเฟอร์ที่มีอยู่ C-x s จะเก็บรักษาทุกบัฟเฟอร์ที่ถูกแก้ไขเนื้อหาไป ลงในแฟ้มข้อมูล โดยจะถามก่อนว่าจะให้ เก็บบัฟเฟอร์นี้ไหม y หรือ n กับบัฟเฟอร์แต่ละบัฟเฟอร์ คำถามจะปรากฏในส่วนล่างของหน้าจอ ดัง ตัวอย่างนี้ Save file /usr/private/yours/TUTORIAL.th? (y or n) การขยายคำสั่ง (extension) ======================= ในโปรแกรม Editor นี้ มีจำนวนคำสั่งมากกว่า จำนวนคำสั่งซึ่งสามารถกดได้โดยปุ่มคอนโทรล หรือปุ่ม META ได้หมด คำสั่งขยาย (eXtend) มีไว้เพื่อให้สามารถใช้คำสั่งเหล่านี้ได้หมด มีอยู่ 2 แบบ ดังนี้ C-x ขยายเพิ่มด้วยตัวอักษร สำหรับกดตัวอักษรตามเข้าไป 1 ตัว ESC x ขยายเพิ่มด้วยชื่อคำสั่ง สำหรับกดชื่อคำสั่งตามเข้าไปทั้งหมด คำสั่งประเภทนี้ ก็เป็นคำสั่งที่มีประโยชน์ แต่ส่วนใหญ่จะถูกเรียกใช้ น้อยครั้งกว่าคำสั่งทั่วไป ตัวอย่างเช่น คำสั่งหาแฟ้มข้อมูล (find) C-x C-f คำสั่งเก็บรักษาแฟ้มข้อมูล (save) C-x C-s คำสั่ง C-x C-c (เลิก Editor) ต่างก็เป็นหนึ่งในคำสั่งเหล่านี้ คำสั่ง C-z เป็นคำสั่งที่ใช้ในในการออกจาก Emacs ค่อนข้างบ่อย คำสั่งนี้จะไม่ยกเลิก Emacs เลยทีเดียว แต่จะหยุด Emacs ไว้ชั่วคราว เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ csh ได้อีก การกด C-z จึงเป็นการหยุด Emacs ไว้ชั่วคราวเท่านั้น จะไม่ทำความเสียหายให้กับเนื้อหาที่แก้ไขไป หมายเหตุ: แต่ทว่า ในกรณีที่ใช้บน X-window หรือใช้ sh อยู่ ก็จะไม่มีความสามารถนี้ คำสั่งประเภท C-x มีมากมายหลายคำสั่ง คำสั่งที่อธิบายไปแล้วมีดังนี้ C-x C-f หาแฟ้มข้อมูล (find) สำหรับแก้ไข C-x C-s เก็บรักษาแฟ้มข้อมูล (save) C-x C-b แสดงรายการบัฟเฟอร์ (buffer list) C-x C-c เลิกการใช้ Editor และเก็บรักษาแฟ้มข้อมูลโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าหากมีแฟ้ม ข้อมูลบางอันถูกแก้ไข ก็ให้ถามว่าจะเก็บรักษาแฟ้มข้อมูลนั้นไหม โดยทั่วไป การออกจาก Emacs ทำได้โดยคำสั่ง C-x C-s C-x C-c คือให้เก็บรักษา ก่อนแล้วจึงเลิก คำสั่งขยายเพิ่มแบบชื่อนั้น ใช้สำหรับคำสั่งที่ไม่ค่อยได้ใช้ หรือคำสั่งที่ใช้เฉพาะกับโหมดพิเศษบาง โหมด ตัวอย่างเช่น คำสั่ง "command-apropos" ซึ่งจะถาม คีย์เวิร์ด (keyword) แล้วแสดงผล คำสั่งทุกคำสั่งที่มีชื่อเกี่ยวข้องกับกับคีย์เวิร์ดนั้น เวลาจะสั่งคำสั่งนี้ ก็ให้กด ESC x แล้วจะมีตัวอักษร "M-x" ปรากฏขึ้นที่ส่วนล่างของจอ จากนั้นก็ให้ใส่ชื่อคำสั่งที่ต้องการ (ในกรณีนี้คือ "command-apropos") เมื่อป้อนข้อมูลไปถึง "command-a" แล้วกด SPACE BAR ส่วนที่เหลือของ ชื่อคำสั่งก็จะถูกเติมเต็ม (completion) ให้เองโดยอัตโนมัติ หลังจากนั้น จะถูกถามคีย์เวิร์ด ก็ให้ กดสายอักขระ (string) ที่ต้องการรู้ลงไป ต้องไม่ใส่คีย์เวิร์ดอะไรเลย ก็จะได้คำสั่งทั้งหมดที่มีอยู่ >> ลองกด ESC x ตามด้วย "command-apropos" หรือ "command-a" หลังจากนั้นก็กด "kanji" ดู ให้กด C-x 1 เวลาต้องการจะลบ "วินโดว์" ที่โผล่ขึ้นมาใหม่ บรรทัดโหมด (Mode Line) ===================== เวลาที่พิมพ์คำสั่งเข้าไปช้า ๆ Emacs จะแสดงสิ่งที่พิมพ์ลงไปตรงบรรทัดล่างสุดของจอซึ่งเรียก ว่า echo area บรรทัดซึ่งอยู่ถัดขึ้นมาหนึ่งบรรทัด เรียกว่าบรรทัดโหมด (mode line) บรรทัด โหมดมีลักษณะดังนี้ [--]J:--**-Mule: TUTORIAL.th (Fundamental) ---NN%-------------- หมายเหตุ: ตรงส่วน NN ของ NN% จะมีตัวเลขใส่อยู่ บรรทัดโหมดที่แสดงอยู่อาจจะแตกต่าง ไปจากตัวอย่างบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร ตัวอย่างเช่น อาจจะมีเวลาหรือ uptime แสดงผลอยู่ อันนี้เป็นความสามารถของโปรแกรม display-time บรรทัดนี้มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์อยู่หลายอย่าง ข้อมูลแรกคือ ชื่อแฟ้มข้อมูลที่กำลังอ่านอยู่ ตัวเลข NN% จะแสดงให้รู้ว่ากำลังแสดงผลส่วนไหน ของแฟ้มข้อมูลอยู่ โดยคิดเป็นเปอร์เซนต์ ถ้าเป็นส่วนบนสุดของแฟ้มข้อมูลอยู่ก็จะมีข้อความว่า --Top-- แสดงอยู่ ถ้าเป็นส่วนล่างสุดก็จะมีข้อความว่า --Bot-- ถ้าหากสามารถแสดงแฟ้มข้อมูล ทั้งหมดบนหน้าจอได้ ก็จะมีข้อความว่า --All-- แสดงอยู่ ภายในวงเล็บของบรรทัดโหมด จะแสดงให้รู้ว่าตอนนี้อยู่ในโหมด (mode) อะไร ในตัวอย่าง ข้างบนคือ อยู่ในโหมด Fundamental ซึ่งเป็นโหมดเริ่มต้น (default) โหมดนี้เป็นหนึ่งในโหมด หลัก (Major Mode) Emacs มีโหมดหลัก (Major Mode) สำหรับการโปรแกรมภาษา หรือการแก้ข้อความ เช่น Lisp mode Text mode และโหมดอื่น ๆ อีกหลายโหมด โดยปกติ Emacs จะอยู่ในโหมดหลัก โหมดใดโหมดหนึ่งเสมอ คำสั่งบางคำสั่งจะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่ออยู่ในโหมดหลักที่ต่างกัน ตัวอย่าง เช่น เวลาโปรแกรมภาษา จะมีคำสั่งสำหรับสร้าง หมายเหตุ (comment) อยู่ เนื่องจากวิธีใส่ หมายเหตุของภาษาแต่ละภาษาแตกต่างกัน คำสั่งนี้ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละโหมดหลัก เพื่อให้ สามารถใส่หมายเหตุในแต่ละภาษาได้อย่างถูกต้อง คำสั่งสำหรับการเปลี่ยนโหมดให้เป็นโหมดหลักอื่น คือคำสั่งขยาย (extend) ซึ่งชื่อคำสั่งเป็นชื่อ โหมด ตัวอย่างเช่น คำสั่ง M-x fundamental-mode คือคำสั่งสำหรับเปลี่ยนโหมดเป็นโหมด Fundamental เวลาที่จะแก้ไขแฟ้มข้อมูลภาษาอังกฤษ ก็ให้ใช้ Text mode >> ลองป้อนคำสั่ง M-x text-mode ถ้าต้องการหาข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับโหมดหลักที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็ให้ป้อนคำสั่ง C-h m >> ให้กด C-h m เพื่อศึกษาข้อแตกต่างระหว่าง Text mode กับ Fundamental mode >> ให้กด C-x 1 เพื่อลบเอกสารออกจากจอ ตรงส่วนซ้ายของบรรทัดโหมด จะมีสัญลักษณ์ '[--]' เพื่อแสดงโหมดสำหรับการป้อนข้อมูล (input mode) อยู่ สัญลักษณ์ [--] หมายถึงสามารถป้อนข้อมูลได้ด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ (English alphabets) กรุณาอ่านคู่มือของ "Tamago" สำหรับรายละเอียดของวิธีใช้ และตรงด้านขวาของสัญลักษณ์นั้น จะมีเครื่องหมายแสดงสถานะของ flag ของระบบรหัส (coding-system) อยู่ Mule สามารถกำหนดระบบรหัสแยกเฉพาะสำหรับ การเก็บอ่านแฟ้มข้อมูล การป้อนข้อมูลจากคีย์บอร์ด การแสดงผลออกทางจอ ได้อิสระจากกัน แต่โดยปกติจะแสดงเฉพาะ สัญลักษณ์ช่วยจำ (mnemonic) ของระบบรหัสสำหรับการเก็บอ่านแฟ้มข้อมูล เท่านั้น >> ตรวจดูว่ามีสัญลักษณ์ คล้ายคลึงกับ "J:" "S:" "E:" แสดงอยู่ที่บรรทัดโหมดหรือไม่ ตัวอักษรตัวแรกคือ สัญลักษณ์ช่วยจำ (mnemonic) ของระบบรหัสที่ใช้อยู่ ตัว ':' แสดงให้รู้ ว่ามีตัวอักษรของภาษาอื่น นอกจากภาษาอังกฤษแสดงอยู่ (เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น เป็นต้น) ตัว J หมายถึง รหัสที่ใช้กับ JUNET คือ รหัส JIS ตัว S หมายถึง Shift-JIS และ ตัว E หมายถึง รหัส EUC ภาษาญี่ปุ่น จะสลับเปลี่ยน (toggle) การแสดงผลภาษานานาชาติได้โดย C-x C-k t ตัวอย่างข้างล่าง คือการสลับเปลี่ยนไม่ให้แสดงภาษานานาชาติ แล้วสลับกลับอีกครั้งหนึ่ง >> ลองป้อนคำสั่ง C-x C-k t ดูสองครั้ง ถ้าเทอร์มินัลที่ใช้อยู่มีปุ่ม META และโหมดที่ใช้อยู่เป็นรหัส JIS เราก็จะสามารถใช้ปุ่ม META แทนการกดปุ่ม ESCAPE ได้ วิธีใช้จะเหมือนกับการใช้ปุ่มคอนโทรล คือให้กดปุ่ม META ค้างไว้แล้วจึง กดตัวอักษรตาม M-<ตัวอักษร> จะทำหน้าที่เหมือนกับ ESC <ตัวอักษร> นั่นคือ ทุกอย่างที่อธิบายมา จนถึงจุดนี้ จะยังคงมีผลเหมือนเดิม หลังจากเปลี่ยน ESC <ตัวอักษร> ให้เป็น M-<ตัวอักษร> แต่ข้อ ควรระวังก็คือ ปุ่ม META จะไม่สามารถใช้ได้กับรหัส Shift-JIS และ EUC การเปลี่ยนระบบรหัสจะมีผลแค่เพียงกับแต่ละบัฟเฟอร์เท่านั้น สามารถดูคำสั่งเกี่ยวกับระบบรหัส ได้โดยคำสั่ง C-h a coding-system >> ให้ป้อนคำสั่ง C-h a coding-system แล้วอ่านรายละเอียดของคำสั่ง set-display-coding-system set-file-coding-system และ set-process-coding-system จากเอกสารที่ปรากฏขึ้น การค้นหา (search) ================ Emacs สามารถค้นหาสายอักขระ (string) ภายในแฟ้มข้อมูลไปทางข้างหน้าหรือข้างหลังได้ ถ้าต้องการค้นหาไปทางข้างหน้าของตำแหน่งเคอร์เซอร์ (cursor) ก็ให้กด C-s ถ้าต้องการค้นหา ไปทางข้างหลังของตำแหน่งเคอร์เซอร์ ก็ให้กด C-r หลังจากนั้นจะมีข้อความว่า "I-search:" ปรากฏขึ้นตรง echo area ยกเลิกการค้นหาได้ด้วยการกด ESC >> กด C-s เพื่อเริ่มการค้นหา แล้วกดตัวอักษรของคำว่า "cursor" ลงไปทีละตัวอย่าง ช้า แล้วสังเกตดูว่าเคอร์เซอร์ขยับไปอย่างไร >> ลองกด C-s ดูอีกหนึ่งครั้งเพื่อค้นหาคำว่า "cursor" ตัวต่อไป >> กด ดู 4 ครั้ง แล้วสังเกตดูว่าการเคลื่อนที่ของเคอร์เซอร์ >> กด ESC เพื่อยกเลิกการค้นหา การค้นหาจะเริ่มขึ้นทันที ในระหว่างที่พิมพ์สายอักขระที่ต้องการจะค้นหา เข้าไปเพียงบางส่วน ถ้าต้องการจะค้นหาตัวต่อไป ก็ให้กด C-s อีกหนึ่งครั้ง ถ้าหากค้นหาสายอักขระที่ป้อนเข้าไปไม่พบ ก็ จะมีข้อความปรากฏขึ้น ให้กด C-g เพื่อยกเลิก ระหว่างที่ค้นหาอยู่ ถ้ากด ตัวอักษรตัวสุดท้ายในสายอักขระก็จะถูกลบไป แล้ว เคอร์เซอร์ก็จะกลับไปตำแหน่งก่อนหน้า ตัวอย่างเช่น ถ้ากด "cu" ก็จะค้นหาไปถึงตำแหน่งที่มีคำว่า "cu" แต่ถ้ากด ในจังหวะนี้ ตัว 'u' ใน search line ก็จะหายไป แล้วเคอร์เซอร์ จะขยับกลับไปที่ตำแหน่งที่มีตัว 'c' อยู่ ถ้ากดตัวอักษรคอนโทรล (control character) ตัวอื่น นอกเหนือจาก C-s หรือ C-r การค้นหาก็จะสิ้นสุดลง คำสั่ง C-s จะค้นหาสายอักขระที่ต้องการ ไปทางข้างหน้าของตำแหน่งเคอร์เซอร์ ถ้าต้องการ ค้นหาไปทางทิศหลัง ก็ให้กด C-r นั่นคือ สามารถใช้ C-s และ C-r สลับกันเพื่อค้นหาไปได้ในทั้ง สองทิศทาง C-s และ C-r ทำหน้าที่เหมือนกันทุกประการ จะต่างกันก็ตรงทิศทางการค้นหาเท่านั้น Recursive Editing Level บางที เราอาจจะหลุดเข้าไปอยู่ในสถานะที่เรียกว่า Recursive Editing Level ได้โดย ไม่ตั้งใจ ในโหมดนี้ เครื่องหมายวงเล็บ '()' ที่แสดงชื่อโหมดหลัก (major mode) อยู่จะมีวงเล็บ '[]' ล้อม เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าเดิมเป็น (Fundamental) อยู่ ก็จะเปลี่ยนเป็น [(Fundamental)] แทน หมายเหตุ: เราจะไม่อธิบายเกี่ยวกับ Recursive Editing Level ในที่นี้ ให้กด M-x top-level เพื่อที่จะออกจาก Recursive Editing Level >> ลองกดดู ตรงส่วนล่างของจอจะมีข้อความว่า "Back to top level" ปรากฏขึ้น เนื่องจาก เราอยู่ในระดับบนสุด (top level) อยู่แล้ว คำสั่งนี้จึงไม่มีผลใด ๆ ไม่สามารถใช้ คำสั่ง C-g เพื่อที่จะออกจาก Recursive Editing Level ได้ Help ==== Emacs มีความสามารถที่มีประโยชน์ มากมายหลายอย่าง ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้หมดในที่นี้ แต่เราจะสามารถเรียกใช้ เพื่อที่จะเรียนรู้ความสามารถเหล่านี้ ได้โดยการกด C-h ซึ่งจะ ช่วยให้เราได้รับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมหลายอย่าง วิธีใช้คือให้กด C-h แล้วตามด้วยตัวเลือก (option) อีกหนึ่งตัวอักษร ถ้าไม่รู้ว่าจะต้องใช้ ตัวเลือกอะไร ก็ให้กด C-h ? แล้วจะมีคำอธิบายเกี่ยวกับตัวเลือกปรากฏขึ้น ได้หากเปลี่ยนใจจะ ไม่เรียก HELP หลังจากกด C-h ก็ให้กด C-g เพื่อยกเลิกได้ คำสั่ง HELP พื้นฐานที่สุดอันหนึ่งก็คือ C-h c แล้วตามด้วยการกดคำสั่งบางคำสั่ง ซึ่งจะให้คำ อธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับคำสั่งนั้น >> ลองกด C-h c C-p ดู ซึ่งจะให้ข้อความว่า "C-p runs the command previous-line" คำสั่งนี้จะช่วยรื้อฟื้นความจำ เกี่ยวกับคำสั่งที่เคยผ่านตาแล้ว แต่จำไม่ได้ ได้เป็นอย่างดี คำสั่ง ที่มีมากกว่าหนึ่งตัวอักษร เช่น C-x C-s ก็สามารถกดตามหลัง C-h c ได้ ถ้าหากต้องการรู้รายละเอียดมากกว่านี้ ก็ให้ใช้ k แทนตัว c >> ลองกด C-h k C-p ดู ก็จะมีวินโดว์เพิ่มใน Emacs อีกหนึ่งอัน เพื่อแสดงรายละเอียดของคำสั่งนั้น เมื่ออ่านจบแล้ว ก็ให้กด C-x 1 เพิ่มลบวินโดว์ออก ตัวเลือกอื่นที่มีประโยชน์ มีดังนี้ C-h f ให้ใส่ชื่อของคำสั่ง เพื่อแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับคำสั่งนั้น >> ให้กด C-h f previous-line แล้วตามด้วย เพื่อแสดงรายละเอียดเกี่ยว กับคำสั่งซึ่งเรียกใช้ได้จากการกด C-p C-h a แล้วตามด้วยคีย์เวิร์ด (keyword) เพื่อแสดงคำสั่งทุกคำสั่ง ที่มีคีย์เวิร์ด รวมอยู่ คำสั่งเหล่านี้สามารถเรียกใช้ได้โดยการกด ESC x >> ลองกด C-h a file แล้วตามด้วย เพื่อแสดงชื่อคำสั่งทุกคำสั่งที่มีคำว่า "file" รวมอยู่ ซึ่งจะมี find-file และ write-file ที่เรียกใช้ได้โดยการกด C-x C-f และ C-x C-w รวมอยู่ด้วย ท้ายสุดนี้ ====== อย่าลืม: คำสั่งสำหรับการเลิก Emacs คือ C-x C-c เอกสารฉบับเบื้องต้นนี้ ตั้งใจเขียนขึ้นสำหรับผู้ที่เริ่มหัดใหม่ โดยเฉพาะ ถ้าหากมีจุดไหนที่ไม่ เข้าใจ ก็อย่ามัวแต่โทษตัวเอง แต่ขอให้โยนความผิดมายังผู้เขียนแทน หลังจากใช้ EMACS ดูสักสองสามวัน ก็คงจะชินไปเอง ในตอนแรก อาจจะมีจุดที่รู้สึกสับสนและ ไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่สิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้นเสมอ เวลาแต่เริ่มใช้ Editor ใหม่ใด ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะ อย่างยิ่งกับ EMACS เนื่องจากเป็นโปรแกรมที่มีความสามารถหลากหลายมาก อันที่จริงแล้ว EMACS ทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ขอขอบคุณ ======= เอกสารฉบับนี้ ดัดแปลงมาจาก "MicroEMACS (kemacs) ภาษาญี่ปุ่น เบื้องต้น" ซึ่งได้มาจาก JUNET เพื่อให้ใช้เป็น Tutorial สำหรับ GNUEmacs (Nemacs) เอกสารนี้ ดัดแปลงมาจาก "JOVE Tutorial" (19 มกราคม 86) ของ Jonathan Payne ซึ่งดัดแปลงมาจากเอกสารของ Steve Zimmerman แห่ง CCA-UNIX ซึ่งดัดแปลง (อีกที) มา จากเอกสาร "Teach-Emacs" ฉบับเบื้องต้น (31 ตุลาคม 85) ของ MIT Update - February 1986 by Dana Hoggatt. Update - December 1986 by Kim Leburg. Update/Translate - July 1987 by SANETO Takanori ขอขอบคุณเป็นพิเศษ ============== คุณ SANETO Takanori (ซาเนโตะ ทากาโนริ) ผู้แปลภาษาญี่ปุ่นฉบับแรกสุด เอกสารฉบับนี้ เขียนด้วย GMW + Wnn + Nemacs ขอแสดงความขอบคุณ แด่ผู้ที่สร้างโปรแกรมสุดวิเศษเหล่านี้ขึ้น และขอขอบคุณ คุณ Fujiwara Shoko ที่ให้ความช่วยเหลือในการแปล การป้อนข้อมูล และอย่างอื่นอีก หลาย ๆ อย่าง ขอรับผิดชอบ การแปลที่ผิดพลาด ข้อมูลเท็จ และอื่น ๆ ไว้แต่เพียงผู้เดียว ซุซูกิ ฮิโรโนบุ@sra.co.jp Update/Add - December 1987 by Hironobu Suzuki Update/Add - November 1989 by Ken'ichi Handa Update/Add - January 1990 by Shigeki Yoshida Update/Add - March 1992 by Kenichi HANDA Translated into Thai - September 1994 by Manop Wongsaisuwan